ก่อนจะขับพารถคู่ใจไปเที่ยวที่ไหนสักแห่ง เราได้ตรวจเช็กสภาพรถกันแล้วหรือยัง หากคุณไม่ได้ตรวจก็จะต้องนำรถมาเช็กสภาพกันก่อน ไม่ว่าจะเป็นตัวถัง ห้องเครื่องยนต์ หรือห้องโดยวารรถยนต์ เพื่อความปลอดภัยขณะขับขี่ทุกเส้นทาง เรามาดูวิธีการเช็กรถยนต์กันเลย แถมทำได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง
1. ตรวจสภาพตัวถัง
ถึงแม้เราจะไม่ได้เป็นผู้เชียวชาญด้านรถเฉพาะ แต่เราก็สามารถตรวจดูเบื้องต้นได้ง่ายๆ เพียงสังเกตตามขั้นตอน ดังนี้
• เริ่มจากด้านหน้ารถยนต์์ ให้เช็กไฟหน้ารถ ไฟต่ำ ไฟสูง ไฟเลี้ยวซ้าย ไฟเลี้ยวขวา และตรวจไฟด้านหลังรถให้หมด
• ตรวจสอบว่ากระจกมองข้างรถมีรอยร้ายหรือไม่ จะต้องมองเห็นให้ชัดเจน อันนี้สำคัญมากๆ
• เช็กเสียงแตรรถว่ายังคงดังปกติหรือไม่ เผื่อเราจำเป็นต้องใช้แตรรถช่วยในการขับขี่บนท้องถนนกรณีรถเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุ
จากนั้นอย่าลืมตรวจลมยางด้วยการสังเกต หรือจับยางว่ายางรถทั้ง 4 ด้านอ่อนกว่าปกติหรือไม่ อย่างไรก็ตามเราจะต้องเปลี่ยนยางรถทุกๆ 10,000 - 15,000 กิโลเมตร เช็กอายุยางรถยนต์ใช้เป็นเวลานาน 3-5 ปี เพื่อความปลอดภัยในเวลาขับขี่ด้วย หากพบว่ายางรถยนต์เกิดมีปัญหา เช่น ดอกยางสึก ลมยางอ่อนเกินไป จะต้องไปตรวจสภาพยางรถเช็กทันทีครับ
2.ตรวจห้องเครื่องรถยนต์
มาถึงขั้นตอนการตรวจห้องเครื่องยนต์กันบ้าง อันนี้แนะนำให้เราใส่ถุงมือกันก่อนนะครับ เพราะเราจะต้องเปิดกระโปรงรถ เพื่อตรวจเช็กสภาพรถกันหน่อย
• เช็กสภาพรถด้วยตาเปล่า หากเครื่องยนต์มีฝุ่นสกปรกก็ให้เช็กทำความสะอาด และไล่เช็กตามท่อว่ามีรอยรั่วซึมไหม
• เช็กน้ำมันเครื่อง เช่น ระดับน้ำมันเครื่องอยู่ในระดับที่เหมาะสมหรือไม่ จะต้องตรวจเช็ก 1-2 ครั้ง/สัปดาห์
• หมั่นดูไส้กรอกอากาศ อันนี้สามารถเช็กได้ด้วยตัวเองเลย ว่าไส้กรอกสะอาดไหม เพราะถ้าคุณใช้งานรถนานๆ ไส้กรองอากาศจะมีฝุ่นและสกปรกทำให้เครื่องยนต์เร่งไม่ขึ้น ดังนั้นจะต้องเปลี่ยนไส้กรองอากาศเมื่อเสื่อมสภาพ
3. ตรวจห้องโดยสารรถยนต์
ตามด้วยห้องโดยสารรถยนต์ อันนี้สังเกตได้ไม่ยากเลย เพียงดูกระจกมองหลัง (ให้มองจากมุมมองของคนขับ) สภาพเบาะที่นั่งคนขับ พวงมาลัยรถ ระบบเกียร์และเบรค รวมถึงแอร์ในรถเย็นหรือไม่ แนะนำค่อยๆ ไล่ตรวจเช็กห้องโดยสารไปทีละจุด หรือจะลองขับระยะใกล้เพื่อเช็กระบบการทำงานของเครื่องยนต์ได้ครับ
แต่ถ้าใครไม่มั่นใจว่า รถยนต์ของเราสภาพดีจริงๆ ไหม ก็สามารถนำรถของคุณเข้าศูนย์ตรวจเช็กสภาพเครื่องยนต์ได้ ทั้งตัวถัง เครื่องยนต์ ลมยาง หรือห้องโดยสารภายใน ทางช่างผู้เชี่ยวชาญจะช่วยตรวจสอบให้ เพียงเท่านี้ก่อนออกเดินทางคุณก็อุ่นใจ เตรียมขับรถยาวๆ เลยครับ นอกจากนี้อย่าลืม
ซื้อประกันรถยนต์ควบคู่กันด้วยนะ อย่างน้อยๆ จะได้มีคนคอยช่วยดูแลทั้งรถทั้งคนให้ขับขี่ปลอดภัยมากขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก :
bolttech.co.th