TIMELINE ดูแลรักษารถตามระยะทาง สำหรับรถใหม่และรถมือสอง

อัพเดทเมื่อ Wed Sep 21 2022

https://tiresbid-images.s3.ap-southeast-1.amazonaws.com/2022-09-21/140240-1663743760-Header.webp
     ไม่ว่ารถยนต์คู่ใจของคุณจะเป็นรถใหม่หรือ รถมือสอง ก็ไม่ใช่ประเด็นที่จะต้องถกเถียงกัน เพราะประเด็นที่สำคัญที่สุดคือเรื่อง “การดูแลรักษา” ให้สามารถใช้งานได้ดีและอยู่กับคุณไปอีกนาน ๆ สำหรับคนที่ซื้อรถป้ายขาวมาใช้ แต่ยังไม่รู้ว่าจะต้องดูแลอย่างไร รู้ใจรวบรวมคำตอบมาให้คุณเรียบร้อยแล้ว แต่จะมีวิธีการดูแลอย่างไรและต้องดูแลส่วนไหนบ้าง มาดูกันตามไทม์ไลน์ได้เลย


ดูแล รถมือสอง อย่างไร ? ให้ใช้ได้อีกยาว ๆ
     ซื้อรถมือสองมาแต่ไม่รู้ว่าเจ้าของเดิมดูแลดีแค่ไหน ? อยากให้รถอยู่กับเราไปนาน ๆ ต้องตรวจสอบส่วนต่าง ๆ ต่อไปนี้ให้ดีก่อนเสมือนทำความรู้จักตัวรถให้มากขึ้น และเข้าใจได้เวลาที่รถมีปัญหาในการใช้งาน

1. ของเหลวต้องเปลี่ยนใหม่เหมือน “นับหนึ่ง” ที่คุณ
ของเหลวต่าง ๆ ในรถยนต์ เช่น น้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันเบรค น้ำมันเฟืองท้าย ฯลฯ ที่ต้องเปลี่ยนถ่ายตามระยะนั้น ความเป็นจริงคือคุณไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเจ้าของเดิมเปลี่ยนล่าสุดตอนไหน เอาที่สบายใจคุณควรเปลี่ยนถ่ายของเหลวใหม่ “ทั้งหมด” เหมือนเป็นการเริ่มนับหนึ่งใหม่ตามระยะการใช้งานรถของตัวคุณเอง  นอกจากจะช่วยเพิ่มความมั่นใจว่ารถของคุณจะไม่เสียหายจากการใช้ของเหลวที่เสื่อมสภาพ ยังช่วยเติมเต็มความสมบูรณ์ให้คุณได้ใช้รถอย่างเต็มประสิทธิภาพอีกด้วย


2. เปลี่ยนกรองอากาศใหม่ได้ยิ่งดี
แม้ว่ากรองอากาศจะสามารถใช้ลมเป่าเพื่อทำความสะอาดได้ แต่จะดีกว่ามั้ยหากรถของคุณได้ใช้กรองอากาศใหม่สะอาด ๆ ให้รถของคุณสามารถสูดอากาศสะอาดเข้าสู่ห้องเผาไหม้ได้แบบปราศจากฝุ่นผงเพื่อระบบจุดระเบิด ซึ่งการเปลี่ยนกรองอากาศนั้น อากาศสะอาดจะช่วยให้การเผาไหม้สมบูรณ์ ส่งผลเรื่องการขับขี่ดีไม่แพ้กับรถใหม่เลยล่ะ

3. แบตเตอรี่รถยนต์ไม่ชัวร์ ก็เปลี่ยนเถอะ
แบตเตอรี่รถยนต์มีอายุการใช้งานอยู่ที่ประมาณ 1 ปี และคุณไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเจ้าของเดิมจากรถมือสองที่ซื้อมานั้นเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ ล่าสุดตอนไหน หากไม่อยากเจอสถานการณ์ “รถสตาร์ทไม่ติด” ในขณะใช้งาน หรือมีอาการบางอย่างที่แสดงให้เห็นว่าอุปกรณ์ส่วนนี้ไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ แนะนำให้เปลี่ยนใหม่ดีกว่าเพื่อความสบายใจในทุกมิติการใช้งาน

4. ระบบเบรครถยนต์ต้องให้ความสำคัญ
แม้ว่าระบบเบรครถยนต์รถมือสองของคุณยังเบรคดี มีความปลอดภัยอยู่ แต่คุณอย่าได้ละเลยที่จะตรวจสอบในจุดนี้เป็นอันขาด ไม่ว่าจะเป็นสภาพผ้าเบรครถยนต์ ลูกยางต่าง ๆ ว่ามีสภาพที่พร้อมใช้งานหรือไม่ น้ำมันเบรครถยนต์ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนถ่ายใหม่แล้วหรือยัง หรือสำคัญไปกว่านั้นมีจุดรั่วซึมตรงไหนในการทำงานหรือไม่ จะต้องตรวจสอบ “ทั้งระบบ” เพื่อให้การขับขี่ของคุณปลอดภัยยิ่งขึ้น


5. ตรวจเช็คการทำงานโดยรวมของเครื่องยนต์และช่วงล่าง
อย่าลืมที่จะให้ช่างผู้ชำนาญตรวจสอบการทำงานโดยรวมของเครื่องยนต์ ระบบส่งกำลัง รวมไปถึงช่วงล่าง เพราะบางจุดอาจจะยังไม่แสดงอาการชัดเจนจนผู้ใช้รถสังเกตเห็นได้ แต่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มองเห็น เช่น มีอะไรรั่วซึมหรือชิ้นส่วนไหนเสื่อมสภาพ เพื่อจะได้เปลี่ยนให้จบตั้งแต่แรก ๆ ก่อนเริ่มใช้งานรถ และคุณจะได้ไม่ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาในการใช้งานในภายหลังด้วย

6. ตรวจสภาพยางรถยนต์
ยางรถยนต์ที่ติดมากับรถมือสองอยู่ไหนสภาพไหน พร้อมใช้งานหรือไม่ ? คงจะไม่มีใครสนใจสักเท่าไหร่นัก แต่ถ้าหากคุณตัดสินใจซื้อมาแล้วล่ะก็ จำเป็นจะต้องใส่ใจเพื่อการใช้งานที่มั่นใจในระยะยาว และจะดีกว่าถ้าคุณตัดสินใจเปลี่ยนยางรถยนต์ใหม่ทั้ง 4 เส้น เพื่อให้การขับขี่มีความปลอดภัยและนุ่มนวลกว่า


เปิดไทม์ไลน์ช่วงการดูแลรักษารถยนต์ตาม “เลขไมล์” ควรตรวจสภาพรถตอนไหนบ้าง ?

การตรวจสภาพรถยนต์ก็คือ “การบำรุงรักษารถยนต์” อีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 แบบด้วยกัน คือ การตรวจสภาพรถอย่างสม่ำเสมอ และการเปลี่ยนตามระยะทางหรือไมล์ ซึ่งในวันนี้เราจะมาไล่ไทม์ไลน์การดูแลรถตาม “เลขไมล์” ให้เจ้าของรถมือสองได้ทำความเข้าใจ ดังนี้

1. เลขไมล์ที่ 1,500 กิโลเมตร 
●    ความสะอาดของขั้วแบตเตอรี่รถยนต์
●    สภาพท่อน้ำหล่อเย็น
●    การสึกของยางรถยนต์
●    ระดับน้ำมันเบรค
●    ฝาหม้อน้ำ
●    สะพานขับปั๊ม
●    สายพานแอร์

2. เลขไมล์ที่ 5,000 กิโลเมตร 
●    สายพานและระดับความดึง
●    ความสะอาดกรองอากาศ
●    น้ำมันคลัตช์
●    ระดับน้ำมันในปั๊ม
●    ใบปัดน้ำฝน
●    การทำงานของหัวฉีด
●    ความสะอาดของคอยล์ร้อน
●    รอยรั่วที่ข้อต่อ
●    ปริมาณน้ำยาทำความเย็น

3. เลขไมล์ที่ 5,000-10,000 กิโลเมตร 
ควรมีการเช็คของเหลว โดยเฉพาะน้ำมันหล่อลื่น เพื่อทำการเปลี่ยนน้ำมันหล่อลื่น และทุกครั้งที่ทำการเปลี่ยนจะต้องมีการเปลี่ยนกรองน้ำมันหล่อลื่นด้วย

4. เลขไมล์ที่ 10,000 กิโลเมตร 
●    ระยะหน้าทองขาวและเขี้ยวหัวเทียน
●    พื้นยางล้อหน้ากับล้อหลัง (อาจสับเปลี่ยนตำแหน่งของยาง เพื่อทำให้ยางแต่ละเส้นสึกเสมอกัน)
●    ความลึกของดอกยาง
●    ระยะฟรีของแป้นคลัตช์
●    ระดับน้ำมันเกียร์อัตโนมัติ
●    สภาพเบรครถยนต์
●    การหล่อลื่นข้อต่อต่าง ๆ

5. เลขไมล์ที่ 20,000 กิโลเมตร
●    ระยะช่องว่างของวาล์ว
●    สายหัวเทียน
●    ฝากครอบจานจ่ายและหัวโรเตอร์
●    วาล์ว พีซีวี
●    ล้างหม้อน้ำ
●    ชุดทองขาวและคอนเดนเซอร์
●    น้ำหล่อเย็น
●    หัวเทียน
●    ตัวกรองอากาศ

6. เลขไมล์ที่ 40,000 กิโลเมตร
●    สายพาน
●    น้ำมันเกียร์อัตโนมัติ
●    สายพานขับปั๊ม
●    สายพานแอร์
●    ใบปัดน้ำฝน

7. เลขไมล์ที่ 60,000 กิโลเมตร
●    เปลี่ยนสายหัวเทียน
●    เปลี่ยนกรองน้ำมันเชื้อเพลิง
●    ทำความสะอาดคาร์บูเรเตอร์

8. เลขไมล์ที่ 100,000 กิโลเมตร
สำหรับเครื่องยนต์เบนซิน จำเป็นจะต้องเช็คสายพานไทม์มิ่ง แต่ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ เช่น นิสัยการขับขี่ สภาพความแข็ง รอยแตกหรือฉีกขาดชำรุดหรือไม่ หากพบให้รีบเปลี่ยนทันที


ไม่อยากจ่ายแพง ประกันอะไหล่รถยนต์ช่วยคุณได้ !

สำหรับคนที่ตัดสินใจซื้อรถมือสอง ล้วนต้องการประหยัดงบประมาณกันทั้งนั้น แต่ถ้าหากจะต้องมีค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนอะไหล่ที่บานปลาย ก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่น่ารื่นรมย์ใจสักเท่าไหร่นัก ดังนั้นการเลือกซื้อ “ประกันอะไหล่รถยนต์” จึงเป็นอีกหนึ่งทางออกที่น่าสนใจ โดยเฉพาะการเลือกซื้อประกันอะไหล่จากรู้ใจ ประกันออนไลน์
ประกันอะไหล่รถยนต์ของรู้ใจ รับประกันภัยโดย บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) และให้บริการโดย บริษัท เอ ดับเบิลยู พี เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความคุ้มครอง “อะไหล่รถยนต์แท้” จากบริษัทผู้ผลิตทั้งรถใหม่และรถมือสอง

ราคาเบี้ยประกันอะไหล่รถยนต์

ประกันอะไหล่รถยนต์จากรู้ใจ ประกันออนไลน์ มีทั้งหมด 3 แผน ในความคุ้มครองและราคาที่แตกต่างกัน โดยจะอยู่ระหว่าง 5,500-8,500 บาท ขึ้นอยู่กับแผนความคุ้มครองของกลุ่มอะไหล่รถยนต์ที่เลือก ดังนี้
1.    แผนสุดคุ้ม (3 กลุ่มหลัก) – เบี้ยประกันเริ่มต้น 5,500 บาทต่อปี
○    เพลาขับหน้าและท้าย
○    กลไกเครื่องยนต์
○    ระบบเกียร์ (อัตโนมัติ ธรรมดา และ CVT)
2.    แผนแนะนำ (5 กลุ่มหลัก) – เบี้ยประกันเริ่มต้น 6,600 บาทต่อปี
○    เพลาขับหน้าและท้าย
○    กลไกเครื่องยนต์
○    ระบบเกียร์ (อัตโนมัติ ธรรมดา และ CVT)
○    ระบบไฟฟ้า
○    ระบบระบายความร้อนเครื่องยนต์
3.    แผนจัดเต็ม (12 กลุ่มหลัก) – เบี้ยประกันเริ่มต้น 8,500 บาทต่อปี 
○    เพลาขับหน้าและท้าย
○    กลไกเครื่องยนต์
○    ระบบเกียร์ (อัตโนมัติ ธรรมดา และ CVT)
○    ระบบไฟฟ้า
○    ระบบระบายความร้อนเครื่องยนต์
○    ระบบปรับอากาศและทำความร้อน
○    ระบบเบรค
○    ระบบฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงและควบคุมมลภาวะ
○    ชิ้นส่วนไฮเทค
○    ระบบบังคับเลี้ยว
○    ระบบเชื้อเพลิง
○    ระบบกันสะเทือนหน้าและหลัง
*หมายเหตุ : เบี้ยประกันจะขึ้นอยู่กับข้อมูลรถยนต์และแผนประกันรถยนต์

ซื้อประกันอะไหล่รถยนต์ อะไรบ้างที่ต้องรู้

     ประกันอะไหล่รถยนต์ “ไม่มีระยะเวลาที่ไม่คุ้มครอง” ซึ่งคุณต้องทำการตรวจสอบสภาพรถก่อน กรมธรรม์จึงจะเริ่มให้ความคุ้มครอง (หลังจากได้รับการอนุมัติแล้ว) ทั้งนี้ประกันอะไหล่รถยนต์จากรู้ใจ ไม่ได้ให้ความคุ้มครองรถยนต์ที่มีเลขไมล์เกิน 200,000 กิโลเมตร สำหรับผู้ที่ซื้อและได้รับความคุ้มครอง สามารถ “แจ้งเคลม” และส่งเอกสารหลักฐานภายใน 30 วัน หลังจากวันที่เกิดความเสียหาย หรือแจ้งเคลมผ่านแอปได้ ง่าย สะดวกกว่า

เอกสารหลักฐานที่ต้องใช้ในการเคลมประกัน
●    แบบฟอร์มการเรียกร้องความเสียหาย
●    สำเนาบัตรประชาชนของผู้เอาประกันภัย
●    สำเนาใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์
●    สำเนาบัตรรับประกันของผู้ผลิตรถยนต์ (ถ้ามี)
●    เอกสารอื่นตามที่บริษัทต้องการตามความจำเป็น

     สำหรับคนที่ต้องการซื้อรถยนต์มือสอง แต่ไม่ต้องการแบกรับค่าใช้จ่ายในเรื่องของการเปลี่ยนอะไหล่รถยนต์ ที่ค่าใช้จ่ายแต่ละส่วนนั้น “สูงมาก” การเลือกซื้อประกันอะไหล่รถยนต์กับรู้ใจ จึงเป็นอีกหนึ่งคำตอบสุดท้ายที่น่าสนใจ เพราะนอกจากคุณจะไม่ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายก้อนโตแล้ว คุณยังเลือกแผนความคุ้มครองได้อย่างอิสระ ช่วยให้การขับขี่ของคุณมีแต่ความมั่นใจ อุ่นใจ ตลอดการเดินทาง

     ไม่ว่าจะเป็นประกันรถยนต์หรือประกันอะไหล่รถยนต์ เลือกให้รู้ใจช่วยดูแล การันตีอะไหล่แท้แม้เป็นรถมือสอง สามารถซื้อกรมธรรม์ทั้ง 2 แบบเพื่อช่วยคุ้มครองรถคู่ใจของได้ทันที นอกเหนือไปกว่าการดูแลรถ เราพร้อมดูแลคุณด้วยบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนน 24 ชม. ดูแลทุกที่ทุกเวลาทั่วไทย

ติดตามข่าวสาร สาระความรู้เกี่ยวกับรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ และสุขภาพ รวมถึงโปรโมชั่นใหม่ ๆ จากรู้ใจ ประกันออนไลน์ ได้ที่ Facebook Page: Roojai หรือ Official Line ID: @roojai ได้เลย