มัดรวม 6 จุดเช็กยางก่อนเดินทางไกล เพื่อความปลอดภัยตลอดทริป

อัพเดทเมื่อ Wed Dec 21 2022

https://tiresbid-images.s3.ap-southeast-1.amazonaws.com/2022-12-21/210456-1671631496-Cover----6--715-x-380.webp
     กำลังวางแผนเดินทางไกลช่วงปีใหม่ต้องอ่าน! Drive Car Rental แนะนำ 6 จุดที่สำหรับเช็กยางรถยนต์ที่คุณห้ามพลาดมาไว้ให้แล้วในบทความนี้ เพื่อเพิ่มความมั่นใจ ไร้กังวลเรื่องอุบัติเหตุตลอดการเดินทาง 6 จุดที่ว่านี้จะมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลยครับ!

1.    ความดันลมยางรถยนต์
     โดยปกติแล้ว เราแนะนำให้เช็กความดันลมยางทุกครั้งก่อนออกเดินทาง หรืออย่างน้อยเช็กเป็นประจำเดือนละ 1 - 2 ครั้ง เพื่อชะลอการเสื่อมสภาพของยาง เนื่องจากหากปล่อยให้ลมยางอ่อนเกินไป แก้มยางและขอบยางจะสึกหรือเร็ว นอกจากนี้ ความดันลมยางที่เหมาะสมยังส่งผลต่อประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนของรถยนต์อีกด้วย เพราะถ้าลมยางอ่อนเกินไป คุณก็จำเป็นจะต้องเร่งความเร็วมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้รถเผาผลาญเชื้อเพลิงมากขึ้น 

     สำหรับการเช็กความดันลมยางด้วยตนเอง จะใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า “เกจวัดลมยาง” โดยเริ่มจากถอดฝาครอบจุกยางออก เสียบเกจวัดลมยางเข้าไปแทน แล้วเปรียบเทียบตัวเลขที่อ่านได้จากหน้าปัดกับสติกเกอร์แนะนำการเติมลมยาง ที่ติดอยู่บริเวณข้างประตูฝั่งคนขับ เพียงเท่านี้คุณก็จะทราบว่าควรเติมลมยางเพิ่มอีกเท่าใด จึงจะทำให้ยางรถยนต์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

2.    จุกลมยาง 
     แม้จุกลมยาง หรือ จุ๊บยาง จะเป็นเพียงส่วนประกอบเล็ก ๆ แต่ก็เป็นชิ้นส่วนที่สำคัญ เพราะเมื่อใช้งานไปนาน ๆ จุกลมยางก็สามารถเสื่อมสภาพได้เช่นเดียวกับชิ้นส่วนอื่น ดังนั้น ทุกครั้งก่อนออกเดินทาง คุณจึงควรเช็กให้แน่ใจว่า จุกลมยางทุกตัวหมุนจนแน่นสนิทดี ที่สำคัญหลังเปลี่ยนยางใหม่ทุกครั้ง ควรเช็กความสมบูรณ์ของจุกยางทุกตัวซ้ำอีกครั้ง เพื่อป้องกันลมยางรั่ว 

3.    รอยแตกร้าวของแก้มยาง
     เมื่อใช้งานยางรถยนต์เส้นเดิมไปนาน ๆ หรือจำเป็นต้องขับรถบนพื้นถนนร้อน ๆ แดดจัด ๆ ทุกครั้ง อาจทำให้นยางรถยนต์เสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือรอยแตกร้าวเป็นแนวยาวบนแก้มยาง ซึ่งสามารถสังเกตเห็นได้ง่ายด้วยตาเปล่า แน่นอนว่าหากคุณพบรอยแตกร้าวบนแก้มยาง แนะนำให้เปลี่ยนยางรถยนต์ใหม่ทันที เพราะถ้าฝืนใช้งานต่อไป ยางอาจจะระเบิด จนทำให้เกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่ได้

4.    สภาพของดอกยาง
     ทุกครั้งที่หน้ายางสัมผัสกับพื้นถนน ย่อมทำให้เกิดการเสียดสีและมีผิวยางบางส่วนสึกหรอ คุณจึงควรเช็กความสมบูรณ์ของดอกยางทุกครั้งก่อนออกเดินทาง สำหรับวิธีการสังเกตนั้น แนะนำให้ดูจาก “สะพานยาง” หรือเส้นคั่นเป็นสันนูนตามร่องยาง ถ้าความสูงของดอกยางเริ่มใกล้เคียงหรือน้อยกว่าสะพานยาง นั่นคือสัญญาณว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนยางรถยนต์เส้นใหม่ เพราะถ้าฝืนใช้งานต่อไป จะมีผลต่อการทรงตัวของรถยนต์ โดยเฉพาะเมื่อฝนตก ถนนลื่น อาจทำให้รถเสียหลักพลิกคว่ำได้

5.    รอยปูด บวมของยาง
     ความผิดปกติอีกหนึ่งอย่างที่สามารถพบได้บ่อย คือ รอยปูดบวมบนแก้มยาง ซึ่งมักเกิดจากแรงกระแทกที่รุนแรง เช่น การตกหลุมถนน ขึ้นลูกระนาด หรือกระแทกกับขอบทาง ทำให้โครงสร้างภายในฉีกขาด หากพบปัญหานี้ แนะนำให้รีบเปลี่ยนยางเส้นใหม่ทันที เพราะยางอาจระเบิดระหว่างทางได้ โดยเฉพาะเมื่อต้องขับรถท่ามกลางอากาศอบอ้าว

6.    อายุการใช้งานของยาง
     สุดท้าย คือการเช็กอายุการใช้งานของยาง โดยทั่วไปยางรถยนต์จะมีอายุการใช้งาน 5 ปี และบนยางแต่ละเส้นจะมีช่วงเวลาที่ผลิตแสดงอยู่ โดยจุดสังเกตจะอยู่บนแก้มยาง เป็นวงรีที่มีเลข 4 หลักอยู่ด้านใน 2 หลักแรก หมายถึงสัปดาห์ในปีที่ผลิต และ 2 หลักต่อมา คือ ปี ค.ศ. ที่ผลิต หากพบว่ายางรถยนต์ของคุณมีอายุเกิน 5 ปีแล้ว แนะนำให้เปลี่ยนเป็นยางเส้นใหม่ เพื่อความปลอดภัยในขณะขับขี่ครับ

     ยางรถยนต์คือชิ้นส่วนที่ต้องสัมผัสกับพื้นถนนเป็นประจำ ทำให้เกิดการสึกหรอได้ง่าย และมักเป็นต้นเหตุของการเกิดอุบัติเหตุ คุณจึงควรเช็กยางรถยนต์อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะก่อนออกเดินทางไกล อย่างไรก็ตาม หากคุณจำเป็นต้องใช้รถ แต่ยังไม่พร้อมตรวจเช็กสภาพต่าง ๆ ด้วยตนเอง เราขอแนะนำบริการเช่ารถรายวันและเช่ารถรายเดือน จาก Drive Car Rental การันตีคุณภาพด้วยรถใหม่อายุการใช้งานไม่เกิน 2 ปี พร้อมตรวจเช็กสภาพอย่างสม่ำเสมอ รับประกันความปลอดภัยและบริการกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง

ขอบคุณข้อมูลจาก
tisco, goodyear, nexen tire